เทคโนตีนดอย -> มทร.ล้านนา อดีต ปัจจุบัน อนาคต 10 ปี กับการเป็นมหาวิทยาลัย แต่ไม่อยากให้จิตวิญญาณเด็กช่างหายไป
ผมเข้ามาเรียนที่นี่เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ และตอนนี้ยังทำงานอยู่ที่นี่ เห็นการเปลี่ยนแปลงก็หลายอย่าง
"นักศึกษาที่นี่ไม่ได้ดั่งใจ ไม่ตั้งใจเรียน" ได้ยินบ่อย ผมก็เคยบ่น
อดีต เทคโนตีนดอยคือ สถานที่เรียนต่อด้านอาชีพที่นักศึกษาที่เรียนดี และได้โควตาเข้ามาเรียน สอบแข่งขัน 1:10 (ป้ายจำนวนรับ และจำนวนสมัครจะติดที่ข้างศาลาราชมงคล เราๆ ได้เห็นมันจะเท่ห์ ว่าเราคือ 1 ในนั้น) ส่วนใหญ่ก็มาจากเทคนิค อาชีวะประจำจังหวัด เป็นเด็กกิจกรรม
และทุกคนมาด้วยความภูมิใจที่สอบเข้าเรียนที่นี่ได้ มีทักษะทางด้านช่าง ผ่านการบ่มเพาะมาจากโรงเรียน วิทยาลัยเดิม ส่วนหนึ่งยังเคยผ่านการรับงานในสายงานที่ตัวเองเรียนมาด้วยแล้ว (รับเหมาไฟฟ้า แอร์ ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งๆ อยู่ในระดับ ปวช.)
จนบางทีสามารถนิยามได้ว่าที่นี่เรียนแบบบุฟเฟต์ หากินเอง อาจารย์ก็สอน แนะนำ สอนวิธีเรียนให้เก่ง ทำงานเป็น (หนังสือ B.L. Theraja เป็นตัวอย่างแหล่งความรู้ด้านไฟฟ้าอย่างดีในขณะนั้น ในยุคที่ไม่มี Google) ห้องสมุดก็มีหนังสือไม่มาก ห้องสมุด มช. ห้องสมุดคณะวิศวะ คือที่ๆ ต้องไปค้นคว้า อยากได้ข้อมูลก็ถ่ายเอกสาร
ตอนสอบจะมีการอวดโอ่คะแนน และคุยว่าตัวเองเก็งข้อสอบ เดาใจอาจารย์ได้ถูก เรียนและปฏิบัติอย่างเต็มที่ (วัสดุ เครื่องมือ มีมาก สายไฟฟ้า ท่อทองแดง ลวดเชื่อม) อาจารย์ให้อิสระในการเรียน แต่ก็มีบ้างที่เกเร กินเหล้า เมา เป็นเด็กช่าง แต่ยังไงก็มาเข้าแถวเข้าห้องเรียน
และหลังจากจบ ปวส. ที่นี่ก็ต้องไปแข่งขันสอบเรียนต่อ ก็จะถูกคัดอีกครั้ง (3 พระจอม มข. เอกชน และที่อื่นๆ) หลายคนได้ทำงานดี เป็นอาจารย์ เป็นวิศวกรไฟฟ้า องค์การโทรศัพท์ และผู้รับเหมางาน และภูมิใจที่จบจากเทคโนตีนดอย กลับมานั่งคุยกัน 3 วันไม่จบ
ปัจจุบัน อนาคต เราเติบโตขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย มีปัจจัยพื้นฐาน ตึก สิ่งปลูกสร้าง มากขึ้น สิ่งทันสมัยมากขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บ่งบอกจิตวิญญาณในชั้นเรียน เราขาดเครื่องมือช่าง หัวใจช่าง ไม่รักในสิ่งที่ๆ ตัวเองได้รับโอกาส ไม่หวงแหนสิ่งๆ ที่เป็นตัวตน
การบ่มเพาะวินัย (เข้าแถวก่อนเข้าชั้นและเลิกชั้น ทำความสะอาดห้อง ถูพื้น กิจกรรมเสวนา ถามไถ่สารทุกข์) นักศึกษามาเรียน โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองจบแล้วจะไปอยู่ในส่วนไหนของอาชีพ การทำงาน
วิชาชีพที่เรียน บอกไม่ได้ว่าแต่ละวิชาฉันจะเอาไปเป็นอาชีพได้อย่างไร ส่วนหนึ่งคืออาจารย์ไม่ได้ทำงานในสายงานอาชีพนั้นๆ แล้ว หรือทำก็น้อยลง (วิศวกรไฟฟ้า รับเหมาเกี่ยวกับงานไฟฟ้า ที่ปรึกษาโรงงาน การไฟฟ้า) นักศึกษาจึงขาดแรงบันดาลใจ
รุ่นพี่ (ที่จะมาแนะนำ) ที่จบไปก็ไม่แน่ใจว่าจะกลับเข้ามาช่วยได้ยังไง เพราะตอนนี้อาจารย์ที่พี่ๆ รู้จักหลายๆ ท่านก็เริ่มเกษียณ อาจารย์ที่เข้ามาใหม่ก็จบจากที่อื่นๆ พี่ๆ ก็ไม่รู้จัก หลายๆ แผนกนักศึกษาไม่รู้จักกัน
หรือในแผนกเดียวกันก็ยังจะมีเรื่องกัน ยกมือไหว้รุ่นพี่ แต่ไม่รู้จักอาจารย์ (อันนี้ผมล่ะงงจริงๆ) ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะแก้ปัญหายังไง ชมรมศิษย์เก่า เครือข่าย กิจกรรมควรจัดทุกๆ ปี ทุก 2 ปี ให้นักศึกษาเป็นผู้จัด ผู้เชิญ อาจารย์เฝ้ามองดูก็พอ
แต่ก่อนอื่น ขอครู อาจารย์กลับเข้าชั้นเรียนก่อน (ผมคนหนึ่งก็จะกลับนะ) ไม่ตามใจนักศึกษา ทำคะแนนไม่ได้ก็ให้มาซ่อม
มาเรียนรู้ใหม่ ติด F ไป ไม่ปล่อยเกรด (อย่าทำร้ายเขาเลย หากว่าเขาคิดว่าทำแค่นี้แล้วดี ความอดทนและพยายามก็จะน้อย สอน 3-5 ครั้งแล้วได้ A กับคนสอนทุกครั้งแล้วให้ D หรือ F นักศึกษาก็ชอบสอนน้อยๆ เกรดดี คนสอนทุกครั้ง ตั้งใจสอน ตั้งใจให้นักศึกษาได้เรียนรู้ ก็เหนื่อยใจนะครับ)
ผมว่าถ้าเราแยกได้ ครูอาจารย์ทำหน้าที่สอน ภาระงานที่เป็นเอกสารงานบริหาร งานธุรการควรมีผู้มาช่วย หรือมีผู้มาทำโดยเฉพาะ จะทำงานวิจัย งานบริการวิชาการ งานทำนุบำรุงศาสนาไปพร้อมๆ กัน มันต้องมีคนมาช่วย (คณะครุศาสตร์ เดิมจะเป็น TA ให้ได้เป็นอย่างดี) สอนคนให้ได้ดีสักคน ผมว่าประเมินครูผู้สอนโดยอาศัยสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ให้คะแนนครู ผู้สอน แล้วใครจะให้คะแนนนักศึกษา ถ้าคนสอนไม่มีเวลา
ครู-อาจารย์มีเวลาอยู่กับนักศึกษาไม่มาก ยังไงมันก็ไม่ได้ถูกบ่ม ไม่ถูกนวด วิชาที่เป็น Fundamental และ Basic ควรให้อาจารย์ที่เป็นปราชญ์สอน หรือใช้วิธีการสอนเป็นกลุ่ม ใช้ทักษะ และความรู้ความถนัดของแต่ละคนช่วยสอนเป็นเรื่องๆ ไม่เอาอาจารย์จบใหม่ (ก็คิดว่าวิชา basic ใครๆ ก็สอนได้) พื้นฐานดีต่อยอดวิชาอะไรก็ได้
วิชาปฏิบัติควรให้อาจารย์ที่มีประสบการณ์ อาจารย์ภายนอก ผู้เชี่ยวชาญเอกชน อาจารย์ในโรงงาน (ฝังตัว) ที่จะสอนทั้งทักษะ วินัย ให้ได้ ประเมินผลแบบเอกชน จัดกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจในสายอาชีพนั้นๆ (แต่ก็ไม่ใช่เอาผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพอื่นมาแนะนำ) มันมองภาพไม่ออก
อีกอันที่เราขาดคือ ตรงไหนที่บ่งบอกว่าเป็น มทร.ล้านนา หัวใจอยู่ตรงไหน เดิมคำว่าเทคโนตีนดอย มันบอกอยู่ในตัว แล้ว มทร.ล้านนา จะมีที่ มีจุด มีสัญลักษณ์อะไร ที่ นศ. ครู อาจารย์ ศิษย์เก่า แวะเวียนมาถ่ายรูป นั่งมอง มานั่งฟื้นจิตใจ เวลาเหงา เศร้า สอบไม่ได้ ว่าฉันอยู่ที่นี่ ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันภูมิใจ ฉันเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ฉันจะไม่ทำให้ชื่อเสียงที่นี่มัวหมอง จะทำให้ขจรขจาย ยิ่งใหญ่ เพราะก่อนที่จะก้าวไปในอนาคต ก็ควรจะรู้ว่าตัวตนของตัวเองเป็นยังไง มีราก ให้ได้นึก ยึดเหนี่ยว
ยังอยากเขียนต่อ ละไว้ก่อน.......
ปล.ย้ำอีกครั้ง ความเห็นส่วนตัวนะครับ
Comments