ผมเริ่มทริปนี้ด้วยการตั้งใจว่าจะไปงานวิชาการ PVSEC 2 ปีครั้ง โดยทำงานแบบ Hands On ใช้จริงในพื้นที่เป็นตัวบอกประสิทธิผล
ช่วงเขียนขอไปก็ขลุกขลักตามราชการไทย ลุ้นว่าจะอนุมัติให้ไปหรือไม่
เพราะหลายๆ อย่างในมหาวิทยาลัยก็ยังไม่ลงตัว แต่ความตั้งใจว่ายังไงก็คงต้องไป
ต้อง Register ซื้อตั๋วเครื่องบิน จองที่พักแล้ว ก็ต้องไป เอกสาร การยืมเงิน เตรียมผลงานที่จะไปนำเสนอ ข้อมูลการเดินทาง ร้านอาหาร แต่ก็ต้องบอกเลยว่า ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ใช้ชีวิตได้ง่าย (ถ้าไม่นับค่าครองชีพที่แพง) สามารถชี้นิ้วเพื่อเลือกอาหาร ทุกอย่างเป็นตู้หยอดเหรียญ (เป็นสังคมแบบ Individual สุดๆ) ทำเองได้ถ้าอยู่ๆ ไป
#1 การเดินทางออกจากประเทศไทย
มาเอา Boarding Pass ขอที่นั่งติดทางเดิน แต่ถ้าอยากเห็นวิวนอกหน้าต่างก็ตามสะดวก แต่ผมชอบแบบลุกไปห้องน้ำได้ง่ายมากกว่า โหลดกระเป๋า แนะนำให้นำกระเป๋าผ้าใบใหญ่พับได้เพื่อเอาเสื้อผ้ากลับ เพราะกระเป๋าใหญ่จะใส่ของฝากจนเต็ม ^^" ขึ้นเครื่องที่เชียงใหม่แล้ว Transit ออกไปญี่ปุ่น ถือ passport คู่กับ Boarding pass ติดกับตัวตลอด ตรวจผ่าน ตม. ที่เชียงใหม่เลย รอขึ้นเครื่อง และพอไปถึงสุวรรณภูมิก็ วนๆ อยู่ใน Duty Free เพื่อรอขึ้นเครื่องไปญี่ปุ่น หลังจากนั้นก็ Take Off ผมไปเครื่อง Boing 380 ลำใหญ่มาก ขึ้นและลงแทบไม่รู้สึก
บนเครื่องจะบริการอาหารเครื่องดื่มไปตลอด จนถึงเช้ามืดก็จะหยุด ก็ทานได้เรื่อยๆ พวกเบียร์ เหล้า น้ำผลไม้ อย่ากินเยอะนะครับ เดี๋ยวจะตรวจแอลกอฮอที่ด่านไม่ผ่าน เมามากไปไม่ดี
#2 เข้าเมืองที่ญี่ปุ่น จากสนามบินไปยังที่พัก
มาถึงก็มาผ่าน ตม. ของญี่ปุ่น ถ้า passport เป็น Official ก็จะถูกถามน้อยหน่อย เพราะเรามีหนังสือจากต้นสังกัดบอกด้วยว่ามางานอะไรและจะอยู่กี่วัน แต่ถ้าเดินทางปกติก็จะถูกถามว่าพักอยู่ที่ไหน สแกนลายนิ้วมือ และอีกนิดหน่อย อย่าลืมเขียนบอกด้วยว่าพกเงินเยนมาเท่าไหร่ด้วย เขามีลิมิต
ไปรับกระเป๋าที่สายพานลำเลียง
หลังจากนั้นก็ผ่าน ตม. เข้ามาที่ ศุลกากรญี่ปุ่น เขาจะสุ่มตรวจดูว่าในกระเป๋าที่เรามีอะไรต้องห้ามหรือเปล่า บุหรี่ เหล้า และของผิดกฎหมาย ถ้าไม่มีอะไรให้สำแดงก็ผ่านไปง่ายๆ ครับ
หลังจากนั้นก็ออก gate มานั่งรถไฟฟ้า วิ่งกลับมาที่ Gate ออกมาเพื่อมาหาสถานีรถไฟฟ้า ซื้อตั๋ว เพื่อเดินทางต่อ
#3 เลือกการเดินทางเพื่อเข้าเมือง Osaka
มีให้เลือกหลายแบบนะครับ จะไปยังไง ไป JR หรือ Nankai Line เราเลือก Nankai แบบซื้อตั๋วเข้าเมืองไปจนถึง Osaka ใช้ร่วมกับ Subway ได้เลยจะลดราคาลงอีก (1000 เยนบ่ดาย) การเดินทางค่อนข้างจะสะดวกมาก ไป JR หรือไป Local ก็ได้ทั้งนั้น แต่ต้องเลือกให้ถูกว่าจะนั่งธรรมดา หรือแบบ Rapi:t ตั๋วสามารถใช้ได้ทั้งคู่ ถ้าขึ้นผิดนี่ จอดทุกสถานีเลย 555 ช้ากว่ากันไปเกือบชั่วโมง
เรามาถึงสถานีรถไฟฟ้าใหญ่ Namba (ที่นี่คือแหล่ง Shopping แหล่งใหญ่ของ Osaka เดี๋ยวมาเล่าต่อเพราะเราจะกลับมาที่นี่เพื่อมาถ่ายรูปกับกูลิโกะต่อ อิอิ) เพื่อเปลี่ยนรถไฟฟ้า ไปนั่ง Subway ประสบการณ์ ซื้อตั๋วรถไฟฟ้านี่ก็ต้องดูสายวิ่งให้ดีครับ มันมีสายหลายสาย ไปผิดนี่เดินในใต้ดินไกลเลย เพื่อไปที่พัก คราวนี้หล่ะครับ เราปักหมุดแผนที่ใน google ผิดตำแหน่ง โรงแรมชื่อ APA Hotel&Resort มันมีเยอะมากในเมือง Osaka ที่พักเราอยู่ในย่าน Yodoyabashi (ตรงนี้มีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินมาจ่อเลย) แต่เราไปลง Tanimachi ห่างกันใช้เวลาเดิน 30 นาทีได้ ถ้าไม่ใช่หน้าหนาวคงมีเคืองกัน 555
ช่วงเขียนขอไปก็ขลุกขลักตามราชการไทย ลุ้นว่าจะอนุมัติให้ไปหรือไม่
เพราะหลายๆ อย่างในมหาวิทยาลัยก็ยังไม่ลงตัว แต่ความตั้งใจว่ายังไงก็คงต้องไป
ต้อง Register ซื้อตั๋วเครื่องบิน จองที่พักแล้ว ก็ต้องไป เอกสาร การยืมเงิน เตรียมผลงานที่จะไปนำเสนอ ข้อมูลการเดินทาง ร้านอาหาร แต่ก็ต้องบอกเลยว่า ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ใช้ชีวิตได้ง่าย (ถ้าไม่นับค่าครองชีพที่แพง) สามารถชี้นิ้วเพื่อเลือกอาหาร ทุกอย่างเป็นตู้หยอดเหรียญ (เป็นสังคมแบบ Individual สุดๆ) ทำเองได้ถ้าอยู่ๆ ไป
#1 การเดินทางออกจากประเทศไทย


#2 เข้าเมืองที่ญี่ปุ่น จากสนามบินไปยังที่พัก
มาถึงก็มาผ่าน ตม. ของญี่ปุ่น ถ้า passport เป็น Official ก็จะถูกถามน้อยหน่อย เพราะเรามีหนังสือจากต้นสังกัดบอกด้วยว่ามางานอะไรและจะอยู่กี่วัน แต่ถ้าเดินทางปกติก็จะถูกถามว่าพักอยู่ที่ไหน สแกนลายนิ้วมือ และอีกนิดหน่อย อย่าลืมเขียนบอกด้วยว่าพกเงินเยนมาเท่าไหร่ด้วย เขามีลิมิต
ไปรับกระเป๋าที่สายพานลำเลียง
หลังจากนั้นก็ผ่าน ตม. เข้ามาที่ ศุลกากรญี่ปุ่น เขาจะสุ่มตรวจดูว่าในกระเป๋าที่เรามีอะไรต้องห้ามหรือเปล่า บุหรี่ เหล้า และของผิดกฎหมาย ถ้าไม่มีอะไรให้สำแดงก็ผ่านไปง่ายๆ ครับ
หลังจากนั้นก็ออก gate มานั่งรถไฟฟ้า วิ่งกลับมาที่ Gate ออกมาเพื่อมาหาสถานีรถไฟฟ้า ซื้อตั๋ว เพื่อเดินทางต่อ
#3 เลือกการเดินทางเพื่อเข้าเมือง Osaka
มีให้เลือกหลายแบบนะครับ จะไปยังไง ไป JR หรือ Nankai Line เราเลือก Nankai แบบซื้อตั๋วเข้าเมืองไปจนถึง Osaka ใช้ร่วมกับ Subway ได้เลยจะลดราคาลงอีก (1000 เยนบ่ดาย) การเดินทางค่อนข้างจะสะดวกมาก ไป JR หรือไป Local ก็ได้ทั้งนั้น แต่ต้องเลือกให้ถูกว่าจะนั่งธรรมดา หรือแบบ Rapi:t ตั๋วสามารถใช้ได้ทั้งคู่ ถ้าขึ้นผิดนี่ จอดทุกสถานีเลย 555 ช้ากว่ากันไปเกือบชั่วโมง
เรามาถึงสถานีรถไฟฟ้าใหญ่ Namba (ที่นี่คือแหล่ง Shopping แหล่งใหญ่ของ Osaka เดี๋ยวมาเล่าต่อเพราะเราจะกลับมาที่นี่เพื่อมาถ่ายรูปกับกูลิโกะต่อ อิอิ) เพื่อเปลี่ยนรถไฟฟ้า ไปนั่ง Subway ประสบการณ์ ซื้อตั๋วรถไฟฟ้านี่ก็ต้องดูสายวิ่งให้ดีครับ มันมีสายหลายสาย ไปผิดนี่เดินในใต้ดินไกลเลย เพื่อไปที่พัก คราวนี้หล่ะครับ เราปักหมุดแผนที่ใน google ผิดตำแหน่ง โรงแรมชื่อ APA Hotel&Resort มันมีเยอะมากในเมือง Osaka ที่พักเราอยู่ในย่าน Yodoyabashi (ตรงนี้มีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินมาจ่อเลย) แต่เราไปลง Tanimachi ห่างกันใช้เวลาเดิน 30 นาทีได้ ถ้าไม่ใช่หน้าหนาวคงมีเคืองกัน 555
Comments